ผู้นำวิญญาณคือผู้ที่มีปัญญา
    
ท่านต้องการไปสวรรค์แต่เพียงผู้เดียวหรือ?  ถ้าเช่นนั้นอย่าหวังว่าท่านจะได้ไป  
เพราะท่านจะไปไม่ถึงแน่  สิ่งที่คิรสตจักรต้องการมากที่สุด  
ไม่ใช่สร้างที่ประชุม  จริงอยู่ที่ประชุมนมัสการก็สำคัญเหมือนกัน  
แต่สิ่งที่คริสตจักรต้องการมากที่สุด คือการนำวิญญาณ  โกโลซาย 1.23 
"คือถ้าท่านทั้งหลายดำรงและตั้งยั่งยืนมั่นคงอยู่ในความเชื่อ  
และไม่โยกย้ายไปเสียจากความไว้ใจในกิตติคุณซึ่งท่านได้ยินแล้ว  
ซึ่งได้ประกาศแก่มนุษย์ทุกคนที่อยู่ใต้ฟ้า  ข้าพเจ้าเปาโลเป็นผู้รับใช้ในกิตติคุณนั้นแล้ว"  
กิจการ 8.4 
"เหตุฉะนั้นสานุศิษย์ทั้งหลายซึ่งกระจัดกระจายไปก็ได้เที่ยวประกาศพระคำนั้น"  
ถ้าเปรียบเทียบความสำเร็จของคริสตจักรเริ่มแรกกับความสำเร็จของคริสตจักรในปัจจุบัน  
เรามองเห็นได้ทันทีว่าคริสตจักรในปัจจุบันขาดบางสิ่งบางอย่าง  
ความบกพร่องมิใช่เรื่องแผนในการดำเนินงาน  มิใช่คำสอน  
แต่ขึ้นอยู่กับการยอมมอบถวายชีวิตของคริสเตียน  
เราสนใจแต่เพียงความรอดของตัวเราเอง  แต่มิใช่ความรอดของผู้อื่น 
เรามียานพาหนะเดินทางไปไหนมาไหนได้  แต่เราไม่รู้จักไปประกาศสั่งสอนผู้อื่น  
สุภาษิต 11.30 "ผลของความชอบธรรมก็คือต้นไม้แห่งชีวิต  
และบุคคลผู้มีปัญญาย่อมมีชัยแก่วิญญาณหลายดวง"  (ดานิเอล 12.3)
1. ทำไมเราควรเป็นผู้นำวิญญาณ?
    (1) 
เพราะพระเยซูทรงเป็นผู้นำวิญญาณ  ลูกา 19.10 
"เพราะว่าบุตรมนุษย์ได้มาเพื่อจะแสวงหาและช่วยผู้ที่หลงหายให้รอด"  
คำสอนของพระเยซูแก่คนจำนวนมาก ๆ มีบันทึกไว้เพียงสิบหกรายเท่านั้น  
บทเรียนอื่น ๆ ของพระเยซูเป็นการส่วนตัว  โยฮัน 3.1-2 "มีคนหนึ่งในพวกฟาริซายชื่อนิโกเดโมเป็นขุนนางในพวกยูดาย  
คนนั้นได้มาหาพระเยซูเวลากลางคืนทูลพระองค์ว่า, “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าท่านเป็นครูมาจากพระเจ้า, 
เพราะว่าไม่มีผู้ใดอาจกระทำนิมิตต์ซึ่งท่านได้กระทำนั้นเว้นไว้พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย"  
พระเยซูทรงตอบเขาว่า "เราบอกท่านตามจริงว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่แล้ว  
จะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้"  โยฮัน 4.6-7 "บ่อน้ำของยาโคบก็อยู่ที่นั่น พระเยซูดำเนินทางเหนื่อยจึงทรงนั่งลงที่บ่อนั้น. 
เป็นเวลาประมาณเที่ยง  มีผู้หญิงคนหนึ่งชาติซะมาเรียมาตักน้ำ 
พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า “ขอน้ำให้เรากินบ้าง"  
พระเยซูได้เปลี่ยนแปลงโลกวิธีที่พระองค์ใช้คือ "การนำวิญญาณตัวต่อตัว" โปรดดู 1เปโตร 
2.21
    (2) 
พวกสาวกเริ่มแรกเป็นผู้นำวิญญาณ  กิจการ 5.42 
"เขาจึงได้สั่งสอนประกาศกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ 
ในโบสถ์และตามบ้านเรือนทุกๆ วันมิได้ขาด"  
เราปฏิบัติตามแบบของคริสตจักรเริ่มแรกหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น พิธีระลึก ฯลฯ  
ทำไมเราไม่ปฏิบัติตามแบบเขาในการนำวิญญาณบ้าง?
    (3) 
ทุกคนมีความบังคับให้เป็นผู้นำวิญญาณตัวต่อตัว  มัดธาย 28.19 " 
เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกประเทศให้เป็นสาวก. 
ให้รับบัพติศมาในนามแห่งพระบิดาและพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์"  
2ติโมเธียว 2.2 " จงฝากข้อความเหล่านั้น ซึ่งท่านได้ยินจากข้าพเจ้าต่อหน้าพะยานหลายคนไว้กับคนสัตย์ซื่อ, 
ที่สามารถสอนคนอื่นได้ด้วย"  
ความรับผิดชอบดังกล่าวผู้อื่นทำหน้าที่แทนเราไม่ได้  คริสเตียนทุก ๆ 
คนต้องทำหน้าที่อันนี้ด้วยตัวของตัวเอง ฉะนั้นขออย่าให้เราหลีกเลี่ยงหน้าที่นี้  
"ให้นาย ก. ทำก็แล้วกัน"  เพราะการนำวิญญาณเป็นคำสั่ง  โปรดสังเกต  
โยฮัน 14.15 " ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา, 
ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา"
    (4) 
คำตรัสสั่งอันยิ่งใหญ่จะไม่สำเร็จ  เว้นไว้คริสเตียนทุกคนจะเป็นผู้เผยแพร่  
มัดธาย 28.18-20 "พระเยซูเจ้าจึงเสด็จมาใกล้ๆ แล้วตรัสแก่เขาว่า, 
“ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี, ในแผ่นดินโลกก็ดี, 
ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว   เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกประเทศให้เป็นสาวก ให้รับบัพติศมาในนามแห่งพระบิดาและพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์  
สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัตรซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้ นี่แหละ, 
เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปเป็นนิตย์กว่าจะสิ้นโลก"  มาระโก 
16.15-16 " ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า, 
“ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศกิตติคุณแก่มนุษย์ทุกคน   ผู้ใดได้เชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด 
แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ"  
เป็นไปไม่ได้ที่นักเทศน์แต่เพียงผู้เดียวหรือคนสองสามคนจะเป็นผู้นำวิญญาณไปถึงมนุษย์ทุกคน  
คนที่เกิดมาก็มีมากและคนที่ตายก็มีมากเราจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ถ้าคริสเตียนทุกคนไม่ร่วมมือ
    (5) 
ทำไมเราควรนำวิญญาณ  เพราะเป็นการรักษาจิตวิญญาณของเราเอง  กิจการ 
2.40-42 "เปโตรจึงอ้างพะยานด้วยคำอื่นหลายคำ และได้เตือนสติเขาว่า, 
“จงเอาตัวรอดจากคนชาติทุจจริตนี้เถิด”  
ฝ่ายชนทั้งหลายซึ่งได้รับคำของเปโตรก็รับบัพติศมา 
และในวันนั้นมีคนเข้าเป็นสาวกประมาณสามพันคน   เขาทั้งหลายได้ตั้งมั่นคงอยู่ในคำสอนของจำพวกอัครสาวก, 
และร่วมใจกันในการหักขนมปังและการอธิษฐาน"  
เรารอดก็เพื่อจะช่วยผู้อื่นให้รอด  หรือถ้าไม่ทำเช่นนั้นเราก็จะพินาศ  
ไม่มีทางเลือก
    (6) 
การช่วยจิตวิญญาณของผู้อื่นให้รอด 
เป็นกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่บุคคลสามารถทำแก่ผู้อื่น  มัดธาย 16.26 
"เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก, 
แต่ต้องเสียชีวิตของตนจะเป็นประโยชน์อะไร? 
หรือใครจะเอาอะไรมาแลกกับชีวิตของตน"  
การช่วยเหลือคนให้พ้นจากอันตรายหรือให้พ้นจากความตาย  
ไม่สามารถเปรียบได้กับการช่วยจิตวิญญาณให้รอด
    (7) 
เราเป็นหนี้  โรม 1.14-16 "ข้าพเจ้าเป็นหนี้ทั้งพวกเฮเลนและพวกต่างประเทศด้วย, 
เป็นหนี้ทั้งนักปราชญ์และคนเขลาด้วย.  เหตุฉะนั้นส่วนข้าพเจ้าเต็มใจพร้อมที่จะประกาศกิตติคุณนั้นแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ในกรุงโรมด้วย   ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องกิตติคุณของพระคริสต์, 
เพราะว่ากิตติคุณนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า 
ให้คนทั้งปวงที่เชื่อนั้นได้ถึงที่รอดทุกคน พวกยูดายก่อน, 
ทั้งพวกเฮเลนด้วย"  เมื่อ ดร.ชอล์ค ได้พบวัคซีนชอล์ค  
ชาวโลกเป็นหนี้ต่อเขา  จะเกิดอะไรขึ้นถ้า ดร.ชอล์ค  ไม่ยอมบอกให้โลกทราบ?  
เราได้พบสิ่งที่มีค่ามากกว่าอะไรทั้งสิ้น  สิ่งนั้นคือพระกิตติคุณของพระคริสต์  
บ่อยครั้งเราปิดปากเงียบไม่ยอมบอกผู้ใด
    (8) 
การนำวิญญาณมีประโยชน์ต่อผู้นำวิญญาณ  
การนำวิญญาณตัวต่อตัวจะทำให้ผู้นั้นแข็งแรงขึ้น  มีใจกว้างขวางขึ้น  
สัตย์ซื่อ  ถวายตัว อธิษฐาน และขยัน  
ฉะนั้นกิจในการนำวิญญาณเป็นบำเหน็จอันใหญ่หลวงสำหรับชีวิตของเขา
2. 
ข้อได้เปรียบของการนำวิญญาณตัวต่อตัว
    (1) 
ทุกคนสามารถทำได้  จะมีอายุเท่าใดหรือการศึกษามากน้อยเพียงใด  
ทุกคนจะเทศนาหรือนำเพลงไม่ได้  แต่ทุกคนสามารถเป็นผู้นำวิญญาณได้  
ถ้าเราสามารถพูดคุยกับคนโน้นคนนี้ด้วยเรื่องสารพัดกับคนหลายคน  
ทำเราจึงไม่สามารถพูดคุยเรื่องพระเยซูหรืออย่างน้อยคุยให้เขาฟังว่าเราทำอะไรกันบ้าง
    (2) โอกาสรอบ 
ๆ ตัวเรา  โอกาสที่จะเขียนหนังสือ  โดยทางวิทยุกระจายเสีย  
หรือทางโทรทัศน์  สำหรับบางท่านก็ไม่มีความสามารถทำได้  
แต่โอกาสที่จะนำวิญญาณตัวต่อตัวนั้นมีอยู่รอบตัวเรา  ผู้ที่อยู่บ้านใกล้เรา  
ที่ทำงาน  ที่โรงเรียน  เมื่อเล่นกีฬา ฯลฯ
    (3) 
การนำวิญญาณตัวต่อตัว  รวมจุดสนใจแต่เพียงคนเดียวเมื่อวิธีอื่นล้มเหลวแล้ว
    (4) 
การนำวิญญาณตัวต่อตัวต่างกับอาชีพในวงการธุรกิจ  
ผู้ที่ขายของอาจไปเยี่ยมที่บ้านเราด้วยเจตนาที่อยากขายของเพื่อจะได้เงิน  
แต่ผู้นำวิญญาณนำของดีไปให้โดยไม่คิดมูลค่า
    (5) 
การนำวิญญาณตัวต่อตัว  
สามารถสอนหรือแก้ไขข้อสงสัยตรงจุดจนเป็นที่พอใจโดยใช้วิธีอื่นแก้ไขไม่ได้  
คนอาจจะไปร่วมประชุมฟังคำเทศนาหลายครั้ง  
แต่บทเรียนที่ได้ฟังจากนักเทศน์อาจจะไม่ช่วยตอบข้อข้องใจอย่างตรงจุด  
แต่ถ้านั่งสนทนาเป็นการส่วนตัวไต่ถามข้อสงสัยจนเป็นที่พอใจได้เพียงใช้เวลาไม่มากนัก
3. คุณสมบัติของผู้นำวิญญาณ
    (1) เป็นคริสเตียนแท้  
โกโลซาย 1.13-14 " 
ผู้ได้ทรงช่วยเราทั้งหลายให้พ้นจากอำนาจแห่งความมืด, 
และได้ทรงย้ายเรามาตั้งไว้ในแผ่นดินแห่งพระบุตรที่รักของพระองค์.  
ในพระองค์นั้นเราทั้งหลายจึงได้รับการไถ่, 
คือทรงโปรดยกความผิดทั้งหลายของเรา"   
คำสอนและผู้สอนจะต้องสัมพันธ์ไม่ขัดแย้งกัน  
นิสัยที่เหมือนกับพระเยซูจะช่วยเป็นแรงในการนำวิญญาณ  ฟิลิปปอย 2.15 
"เพื่อท่านทั้งหลายจะได้กลายเป็นคนปราศจากตำหนิติเตียน, 
เป็นบุตรของพระเจ้าปราศจากติเตียน ในท่ามกลางคนชาติคดโกงและดื้อด้าน 
ท่านทั้งหลายจึงปรากฏดุจดวงสว่างต่างๆ ในโลก"
    (2) 
เป็นผู้ที่มีความห่วงใยต่อวิญญาณของผู้อื่น  
ศึกษาชีวิตของพระเยซูเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ  ลูกา 19.41  
"ครั้นพระองค์เสด็จมาใกล้เห็นเมืองแล้วก็กันแสงสงสารเมืองนั้น"  
พิจารณาดูชีวิตของเปาโล  โรม 9.3 "จนข้าพเจ้าปรารถนาใครจะให้ข้าพเจ้าเองถูกสาปให้ขาดจากพระคริสต์เพราะเห็นแก่พี่น้องของข้าพเจ้า, 
คือญาติของข้าพเจ้าตามเนื้อหนัง"  โรม 10.1 
"ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย, ความปรารถนาในใจข้าพเจ้าและคำวิงวอนขอพระเจ้าเพื่อพลยิศราเอลนั้น, 
คือขอเพื่อหวังให้เขาทั้งหลายรอด"  (กิจการ 17.16)  
ระลึกถึงดาวิด  บทเพลงสรรเสริญ 119.136 "น้ำตาของข้าพเจ้าไหลออกมากมาย? 
เพราะเขาทั้งหลายไม่ถือรักษากฎหมายของพระองค์"  ดูตัวอย่างโมเซ  
เอ็กโซโด 32.31  "โมเซจึงกลับไปเฝ้าพระยะโฮวา ทูลว่า โอพระเจ้าข้า  
พลไพร่นี้ได้ทำผิดใหญ่ยิ่ง เขาได้ทำพระด้วยทองคำ"  
น้ำใจอย่างนั้นหนุนใจให้คนดีมีความร้อนรน
    (3) 
เป็นผู้ที่มีความมั่นใจ  ในสภาพของคนบาปที่ต้องการพระกรุณาของพระเจ้า  
การชำระโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เจ้า  ฤทธิ์เดชของพระกิตติคุณ  
ความสัตย์ซื่อของพระเจ้าที่จะยกโทษ  คริสตจักรเดียวและโครงการแห่งความรอด ฯลฯ  
ผู้ที่ได้รับคำสอนจากผู้ที่ไม่มีความมั่นใจ ผู้รับคำสอนอาจปฏิบัติตามแต่เพียงแบบ  
แต่ปราศจากจิตใจที่แท้จริง  ถ้าบุคคลนั้นเป็นคริสเตียนก็อาจเป็นด้วยความเข้าใจว่าตนเองเป็นสมาชิกในนิกาย  
เราไม่สามารถสร้างคริสตจักรในลักษณะนี้ได้ความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญ  
ไม่มีอะไรมาทดแทนได้
    (4) 
เป็นผู้ที่มีความเข้าใจดี  ผู้ที่นำวิญญาณตัวต่อตัวต้องเข้าใจคน  โยฮัน 
2.25 "และพระองค์ไม่ต้องการให้ผู้ใดชี้แจงถึงเรื่องมนุษย์  
ด้วยว่าพระองค์ทรงทราบทุกสิ่งซึ่งมีอยู่ในมนุษย์"  1เปโตร 3.15 
"แต่ในใจของท่าน จงเคารพพระคริสต์ถือเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า 
จงเตรียมใจไว้ให้พร้อม, เพื่อท่านจะสามารถตอบแก่ทุกคนที่ถามท่านว่า 
ท่านมีความหวังใจเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด แต่ว่าจงตอบด้วยใจสุภาพและด้วยใจยำเกรง"  
ถ้าไม่เข้าใจจะสอนผู้อื่นได้อย่างไร?  ต้องเข้าใจที่จะควบคุมสถานการณ์อย่างไร?  
ยะซายา 50.4 "พระยะโฮวาเจ้าได้ทรงประทานลิ้นให้ข้าพเจ้าสำหรับสอน, 
เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักที่จะใช้คำสอนให้แก่คนที่อ่อนระอาใจ ทุกๆ เช้าพระองค์ทรงปลุกเรียกข้าพเจ้าที่หู, เพื่อให้ข้าพเจ้าเรียนบทเรียน"
    (5) 
เป็นผู้ที่ตระหนักดีและหมั่นอธิษฐานเสมอ ผู้ที่นำวิญญาณผื่นโดยไม่อธิษฐาน  
ก็เหมือนกับผู้ทำการของพระเจ้า  โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า
    (6) 
เป็นผู้ที่มีความเชื่อ  เขาต้องเชื่อในฤทธิ์เดชของพระกิตติคุณ   โรม 
1.16 "ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องกิตติคุณของพระคริสต์, 
เพราะว่ากิตติคุณนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า 
ให้คนทั้งปวงที่เชื่อนั้นได้ถึงที่รอดทุกคน พวกยูดายก่อน, 
ทั้งพวกเฮเลนด้วย"  เพื่อความสำเร็จในการงานของเขา   ยะซายา 
55.11 " ถ้อยคำที่ออกไปจากปากของเราจะไม่ได้กลับมายังเราโดยไร้ผล, 
และโดยยังมิได้ทำอะไรให้สำเร็จตามความพอใจของเรา, 
และสัมฤทธิ์ผลสมประสงค์ดังที่เราได้ใช้มันไปทำฉันนั้น"  
เชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า  1โกรินโธ 15.58  "เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายที่รักของข้าพเจ้า, 
ท่านทั้งหลายจงตั้งมั่นคงอยู่, อย่าสะเทือนสะท้าน 
จงกระทำการขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้บริบูรณ์ทุกเวลา ด้วยว่าท่านทั้งหลายรู้ว่า, โดยองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น 
การของท่านจะไร้ประโยชน์ก็หามิได้"  เชื่อในคุณค่าของจิตวิญญาณ  
มัดธาย 16.26 "เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก, 
แต่ต้องเสียชีวิตของตนจะเป็นประโยชน์อะไร? 
หรือใครจะเอาอะไรมาแลกกับชีวิตของตน?"  และเชื่อเรื่องชีวิตนิรันดร์อย่างจริงจัง  
มัดธาย 25.46 "และพวกเหล่านี้จะต้องไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ 
แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าในชีวิตนิรันดร์"
    (7) 
เป็นผู้ถ่อมสุภาพ  2ติโมเธียว 2.24-25 "ฝ่ายผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าต้องไม่เป็นคนวิวาทกัน, 
แต่ต้องเป็นคนมีใจอ่อนสุภาพต่อคนทั้งปวง, 
และต้องเป็นคนเหมาะที่จะเป็นครู, และมีความเพียร,  
และสอนคนที่ต่อสู้เขาด้วยใจเย็นๆ, 
เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงโปรดให้เขากลับใจเสียใหม่ 
รับเชื่อความจริงกระมัง"  ผู้ใดที่หยิ่งจองหอง  
จะไม่เหมาะสมในการประกาศเรื่องพระเยซู  
เพราะพระเยซูสำแดงความถ่อมสุภาพให้แก่ผู้อื่น  มัดธาย 11.28-29 
"บรรดาผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา, 
และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข  จงเอาแอกของเราแบกไว้, แล้วเรียนจากเรา, เพราะว่าใจเราอ่อนสุภาพ, 
และท่านทั้งหลายจะได้ความสุขสำราญในใจของตน"
    (8) ฟิลิปเป็นคนหนึ่งที่นำวิญญาณในสมัยของอัครสาวก  
โปรดพิจารณาดูนิสัยของเขา
        
ก. เป็นผู้มีชื่อเสียงดี
        
ข. ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
        
ค. ประกอบด้วยสติปัญญา (กิจการ 6.3,  ยาโกโบ 1.5)
        
ง. เป็นผู้ที่รู้จักพระคัมภีร์และองค์พระผู้เป็นเจ้าดี  (1โยฮัน 4.6)
        
จ. เป็นผู้ที่เชื่อฟังดี  (ฟิลิปปอย 2.7-8)
        
ฉ. เป็นผู้ร้อนรน  (ติโต 2.14)
4. 
ข้อแก้ตัวในการไม่ยอมนำวิญญาณ
    (1) 
"ข้าพเจ้ามีธุระยุ่งและเหนื่อย"  ท่านยุ่งเกินไปที่จะอ่านหนังสือพิมพ์, 
ดูโทรทัศน์, ไปโน่นไปนี่ไหม,  สมมุติว่าพระเยซูให้เงินท่านสองแสนบาท  
ถ้าท่านนำวิญญาณได้ 1 ดวง?  ท่านจะยุ่งเกินไปและเหนื่อยเกินไปไหม?  
ท่านก็ทราบแล้วว่าพระเยซูให้ท่านมากกว่านั้นหลายเท่า  พระองค์จะประทานชีวิตนิรันดร์สำหรับผู้ที่ทำการอย่างสัตย์ซื่อ  
ซึ่งมีความสำคัญมากกว่า  วิวรณ์ 2.10 
"ย่ากลัวต่อเหตุการณ์เหล่านั้นซึ่งเจ้าจะต้องทนเอา นี่แน่ะ 
มารจะเอาพวกเจ้าบางคนใส่คุกไว้เพื่อจะได้ลองดูใจเจ้า 
และเจ้าทั้งหลายจะได้รับทุกข์ลำบากถึงสิบวัน. 
แต่เจ้าจงเป็นผู้สัตย์ซื่อตราบเท่าวันตาย, 
และเราจะให้เจ้ามีมงกุฎแห่งชีวิต"
    (2) 
"ข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่ของข้าพเจ้าอยู่แล้ว"  อาจจะเป็นความจริงอยู่บ้าง 
แต่ที่แน่ ๆ คือว่า ท่านกำลังทำอะไร?  
ท่านไปร่วมประชุมนมัสการทุกครั้งเท่านั้นหรือ?  
พระคัมภีร์สอนถึงความแตกต่างระหว่างการทำงานกับการนมัสการในคริสตจักร  กิจการ 
5.42 "เขาจึงได้สั่งสอนประกาศกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ 
ในโบสถ์และตามบ้านเรือนทุกๆ วันมิได้ขาด"  
ท่านอาจจะมาร่วมประชุมนมัสการสม่ำเสมอโดยไม่ขาด  
ความจริงแล้วบางท่านก็ขาดการประชุมอยู่แล้ว  ถึงแม้ว่าท่านมาประชุมมิได้ขาด  
ท่านทำการด้วยความขยันหรือเปล่า?  พระเยซูแก้ตัวเหมือนท่านหรือเปล่า?
    (3) 
"ข้าพเจ้าเคยทดลองดูแล้ว แต่ว่าล้มเหลว"  
สมมุติว่าคนขายของใช้เหตุผลอย่างนี้จะเกิดอะไรขึ้น?  
ท่านควรวิเคราะห์ดูความล้มเหลวของท่านเพราะอะไร  
และหาวิธีแก้ไขที่จำเป็นแทนที่จะยอมแพ้  สูตรของความสำเร็จคือ "ลองดูใหม่"  
วิธีเช่นนี้แหละเป็นวิธีที่เราเรียนรู้จักดำเนินชีวิตให้ประสบความสำเร็จ
    (4) 
"ข้าพเจ้าคิดว่า เราจ้างนักเทศน์ให้ทำหน้าที่แทนเราแล้วมิใช่หรือ?"  
นี่เป็นความคิดที่ผิด  เราไม่สามารถจ้างนักเทศน์ให้รับผิดชอบแทนหน้าที่ของเรา  
ถ้าเช่นนั้นเราคงจะจ้างให้ผู้อื่นทำพิธีระลึกแทนเรา  
ยิ่งกว่านั้นจ้างให้ผู้อื่นสอนแทนเรา คำตรัสสั่งอันยิ่งใหญ่ในการสอนชนทั่วโลก  
มัดธาย 28.19-20 
"เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกประเทศให้เป็นสาวก. 
ให้รับบัพติศมาในนามแห่งพระบิดาและพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์  
สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัตรซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้ นี่แหละ, 
เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปเป็นนิตย์กว่าจะสิ้นโลก"  
เป็นคำสั่งแกคริสตจักรทั้งหมด  มิใช่แก่คนบางคนเท่านั้น
    (5) 
"ข้าพเจ้ารู้ไม่มากพอหรือไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร?"  
ท่านเรียนรู้จักประกอบอาหารอย่างไร?  ซักเสื้อผ้า, ขับรถยนต์  
เรียนรู้ที่จะนำวิญญาณในทำนองเดียวกัน  ถ้าเราไม่มีประสบการณ์   
เราทูลขอต่อพระเจ้าได้  (ยาโกโบ 1.5)  ขอเชิญท่านพิจารณา  2ติโมเธียว 
2.15 "จงอุสส่าห์สำแดงตนให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า, 
เป็นคนงานที่ไม่ต้องอาย, 
เพราะเป็นคนที่ซื่อตรงในการที่ใช้คำแห่งความจริงนั้น"
    (6) 
"ข้าพเจ้าไม่กล้า กลัวพูดไม่ถูก"  จงพิจารณา โรม 1.16  
ถ้าเราสามารถพูดคุยกับเพื่อนมนุษย์ด้วยเรื่องสารพัดโดยไม่เกิดความกลัว  
เราก็น่าจะพูดคุยเรื่องที่เรามีความเชื่อให้เขาฟังในลักษณะเช่นเดียวกับที่เราคุยเรื่องอื่น 
ๆ การสนทนากับเพื่อนมนุษย์เรื่องความเชื่อของเรานั้นไม่จำเป็นต้องมีวิธีการมากมาย  
เพียงแต่พูดออกจากใจของเราเท่านั้นเป็นอันว่าใช้ได้  
อย่าลืมว่าคนขลาดจะเข้าสวรรค์ไม่ได้  (วิวรณ์ 21.8)
5. 
เราจะเป็นผู้นำวิญญาณอย่างไร?
    (1) 
โดยการเชิญผู้ที่ยังไม่เป็นคริสเตียนไปร่วมประชุมนมัสการกับเรา  
สามีหรือภรรยา,  ลูก,  ญาติพี่น้อง,  เพื่อน ๆ 
หรือผู้ที่เราติดต่อด้วยในชีวิตประจำวัน  บทเพลงสรรเสริญ 122.1  
"ข้าพเจ้ามีความยินดีขณะเขาได้กล่าวข้าพเจ้าว่า  
ให้เราไปยังพระวิหารของพระยะโฮวาเถิด"
    (2) 
โดยการแนะนำให้ฟังรายการวิทยุ
    (3) 
โดยการแนะนำให้ศึกษาบทเรียนไปรษณีย์
    (4) 
โดยการนำหนังสือหรือใบปลิวไปให้เขา    
    (5) 
โดยการส่งวารสารของคริสตจักรไปให้เขา
    (6) 
โดยการนัดศึกษาเป็นการส่วนตัวกับผู้ที่ยังไม่เป็นคริสเตียน
    (7) 
โดยการนำภาพสไลด์ไปฉายที่บ้านของผู้ที่เรารู้จัก
    (8) 
โดยการเชิญมาเมื่อมีการประชุมพิเศษ,  ประชุมโซน,  ประชุมอนุชน
    (9) 
เมื่อมีการจัดแคมป์ก็เชิญเขาไปด้วย
    (10) 
ไปเยี่ยมเยียนที่บ้านของผู้ที่สนใจ หรือที่โรงพยาบาลเมื่อเวลาป่วย
    (11) 
ส่งการ์ดเชิญไปถึงบ้าน
    (12) 
เขียนจดหมายติดต่อกับผู้ที่สนใจ
    สรุป 
ขออย่าให้เราไปพบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยมือเปล่า  
ขออย่าให้จิตวิญญาณที่พินาศกล่าวกับเราว่า "ท่านพบข้าพเจ้าทุก ๆ วัน 
และรู้ว่าข้าพเจ้าหลงหาย  แต่ท่านไม่เคยเอ่ยเรื่องของพระองค์ให้ฟังเลย"
ตอบคำถาม คลิกที่นี่  https://docs.google.com/forms/d/1SE14xQT0ppRabJ-q_82N_j_-Cactb64vHlLMG0T5UMY/viewform 
