การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ
อัครสาวกเปาโลสั่งผู้ปกครองที่เมืองเอเฟโซว่า
"ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกสิ่งแล้ว
เห็นว่าควรจะอุตส่าห์ทำการเพื่อจะได้ช่วยคนที่มีกำลังน้อยและควรจะระลึกถึงคำของพระเยซู
ซึ่งพระองค์ตรัสว่า การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ" (กิจการ 20.35)
การให้จะได้รับพระพรเป็นการให้ชนิดไหน พระคำของพระเจ้าได้สอนไว้ชัดเจนว่า
การให้ของเราจะต้องเป็นดังต่อไปนี้
1. ทุก ๆ คน
1โกรินโธ 16.2
"ทุกวันอาทิตย์ให้พวกท่านทุกคนเก็บเงินผลประโยชน์ที่ได้ไว้บ้างเพื่อจะไม่ต้องเก็บเรี่ยไรเมื่อข้าพเจ้า"
โปรดดู 2โกรินโธ 9.7 "ทุกคนจงให้ตามซึ่งเขาได้คิดหมายไว้ในใจมิใช่ด้วยนึกเสียดาย,
มิใช่ด้วยขืนใจให้เพราะว่า พระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี" (กิจการ
11.29, พระบัญญัติ 16.16, และเอ็กโซโด 25.2)
ข้อความเหล่านี้สอนว่าทุก ๆ คนควรให้ไม่ว่าจะเป็นคนจนหรือจะเป็นคนรวย,
เด็กหรือผู้ใหญ่, ตัวคนเดียวหรือแต่งงาน, เป็นผู้นำหรือผู้ตาม,
เป็นหม้ายหรือไม่ก็ตาม, เป็นนักเรียนหรือมีอาชีพ
เรามักจะเน้นในเรื่องความรับผิดชอบของทุก ๆ คนในข้อต่าง ๆ เช่น กิจการ 2.38 "ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวแก่เขาว่า
จงกลับใจเสียใหม่และรับบัพติศมาในนามแห่งพระเยซูคริสต์สิ้นทุกคนเพื่อความผิดบาปของท่านจะทรงยกเสีย
แล้วท่านจะได้รับพระราชทานพระวิญญาณบริสุทธิ์" (2ติโมเธียว 2.19, โรม 14.12)
แต่ทำไม่เน้น ข้อความใน 1โกรินโธ 16.2 ว่าเป็นความรับผิดชอบของทุก ๆ คน
ต่อไปนี้อย่าให้เราพูดว่า เรื่องการถวายทรัพย์
"ให้เป็นหน้าที่ของคนมีเงินก็แล้วกัน" หรือ "ใครมีก็ให้ก็แล้วกัน"
ในจำพวกเราไม่มีผู้ใดจนมากจนต้องยกเว้นได้
2 โกรินโธ
8.4-5 "และยังได้วิงวอนเรามากมายขอให้เขาเข้าส่วนในการกุศลที่จะช่วยสิทธชน
ไม่เหมือนเราได้คาดหมายไว้
แต่ข้อสำคัญที่สุดได้ถวายตัวเขาเองแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า
แล้วได้ยอมตัวให้แก่เราตามชอบพระทัยพระเจ้า"
และก็ไม่มีผู้ใดรวยเกินไปจนไม่ต้องการพระพร ซึ่งได้รับจากการให้
ไม่เป็นการยุติธรรมที่เราจะชื่นชมยินดีและหวังผลเลิศของคริสตจักรที่เราประจำอยู่
โดยที่เราไม่ร่วมแบกภาระและรับผิดชอบในด้านการเงินกับพี่น้องคนอื่น
2. ให้เป็นประจำสม่ำเสมอ
"ทุกวันอาทิตย์ให้พวกท่านทุกคนเก็บเงินผลประโยชน์ที่ได้ไว้บ้าง
เพื่อจะไม่ต้องเก็บเรี่ยไรเมื่อข้าพเจ้ามา" (1โกรินโธ 16.2) คำว่า "Kata"
(ทุก ๆ คน) อยู่ในภาษากรีกขยายคำว่าสัปดาห์
จากข้อความนี้อธิบายให้เราเข้าใจว่าทุก ๆ สัปดาห์ที่เราได้รับผลกำไรเราควรให้
(นอกเหนือจากที่เราให้เป็นประจำ) และมีเตรียมไว้พร้อมที่จะให้
ถ้าเราละเลยในการถวายทรัพย์ก็ถือว่าเป็นการบาปเช่นเดียวกับการทำพิธีระลึก (กิจการ
20.7) "ในวันอาทิตย์เมื่อเราทั้งหลายประชุมกันทำพิธีหักขนมปัง เปาโลก็สั่งสอนเขา
เพราะว่าวันรุ่งขึ้นจะลาไปจากเขาแล้ว ท่านได้กล่าวยืดยาวไปจนถึงเที่ยงคืน"
เพราะฉะนั้นการถวายทรัพย์ของเรามิได้ขึ้นอยู่กับการที่เราจะต้องเป็นฝ่ายถูกขอ
ถ้าเราไม่ถูกขอเราก็ควรให้หรือมิใช่ ตะกร้าส่งผ่านมาทางหน้าเราจำเป็นต้องให้
หรือมิใช่เพราะว่าเราชอบใจคำเทศนา
นอกจากนั้นถ้าเราจำเป็นต้องไปทำธุระหรือไปต่างจังหวัด
ไม่สามารถไปร่วมประชุมกับพี่น้องได้
เราก็ยังมีความรับผิดชอบในการถวายทรัพย์อยู่นั่นเอง เหตุผลเพราะว่า
1.
เราจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ตาม รายได้ที่เราเกิดผลประโยชน์นั้นเป็นของพระเจ้า
2.
รายจ่ายของคริสตจักรต้องจ่ายตามปกติ ถ้าเรามีเหตุจำเป็นไม่อยู่
เราควรจะส่งเงินถวายของเราไปให้กับคริสตจักร
หรือฝากผู้อื่นให้ใส่ตะกร้าแทนเรา
หรือเมื่อเรากลับมาแล้วเราให้เพิ่มสมทบกับส่วนที่เราไม่อยู่
ด้วยวิธีวางโครงการประจำสัปดาห์ดังกล่าวจะช่วยให้เราไม่เป็นคนโลภและเห็นแก่ตัว
ยกอุทาหรณ์ เป็นการง่ายที่จะชำระเงินผ่อนส่งเป็นประจำโดยไม่ขาดตอน
ดีกว่าปล่อยทิ้งสะสมไว้มาก ๆ แล้วก็เก็บไว้จ่ายหลาย ๆ งวดรวมกันทีเดียว
3. ให้โดยมีจุดประสงค์
1.
การให้ของเราจะต้องเป็นไปตามที่เราคิดหมายไว้ในใจ (2โกรินโธ 9.7)
"ต้องตัดสินใจไว้ล่วงหน้า" มิใช่ด้วยความจำใจ การให้คำทำด้วยความตั้งใจ,
ตามใจปรารถนา, ด้วยใจมุ่งหมาย, กำหนดไว้ตามแผนแล้ว คิดไว้ก่อนล่วงหน้า,
ด้วยใจปรารถนา, ตัดสินใจล่วงหน้า, มิใช่อุบัติเหตุ
ความรู้สึกในการให้ดังกล่าวเหมือนกับความรู้สึกต่อไปนี้ว่าอย่างไร
"ข้าพเจ้าจะให้เมื่อตะกร้าผ่านมาในวันอาทิตย์ จะเป็นเท่าไหร่ก็ช่างเถอะ"
หรือ "ข้าพเจ้าค่อยตัดสินใจทันทีเมื่อตะกร้าผ่านมา" หรือ
"ข้าพเจ้าจะให้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่ข้าพเจ้ามีในการฟังคำเทศนา"
2.
เราสัญญาสิ่งที่คิดหมายเอาไว้ได้ 2โกรินโธ 9.5
"เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงคิดว่า
สมควรจะวิงวอนให้พี่น้องเหล่านั้นไปหาท่านทั้งหลายก่อน,
และตระเตรียมทานของท่านไว้ตามที่ท่านสัญญาแล้ว เพื่อทานนั้นจะมีอยู่พร้อมและจะป็นทานที่ให้ด้วยใจศรัทธา
มิใช่ด้วยฝืนใจให้" Thayer ได้ให้คำนิยายคำว่า
"สัญญาล่วงหน้า" ซึ่งปรากฎอยู่ในข้อนี้ ใจความว่า "ประกาศไว้ก่อนล่วงหน้า
...เพื่อประกาศก่อนที่จะสัญญา" ถูกแล้ว การถวายทรัพย์ของพวกโกรินโธได้ประกาศไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว
ที่จริงเขาได้ประกาศล่วงหน้าไว้แล้วเป็นเวลา 1 ปี 2โกรินโธ 8.10-11
"และข้าพเจ้าจะออกความเห็นในเรื่องนี้เพราะเป็นการสมควรแก่ท่าน,
เหตุที่ท่านได้ตั้งต้นก่อนเขาเมื่อปีกลายแล้ว และมิใช่ตั้งตนจะกระทำเท่านั้น
แต่ว่ามีน้ำใจกระทำด้วย เหตุฉะนั้นบัดนี้จงกระทำการนั้นให้สำเร็จ
เพื่อท่านเคยได้มีใจพร้อมอยู่แล้วฉันใด
ท่านจะได้ให้สำเร็จตามความสามารถของท่านฉันนั้น" ยิ่งกว่านั้น 2โกรินโธ 9.1-2
"ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องเขียนหนังสือฝากไปถึงท่านทั้งหลายอีกเรื่องการสงเคราะห์สิทธชนเพราะข้าพเจ้ารู้แล้วว่าใจของท่านพร้อมอยู่แล้ว
ข้าพเจ้าจึงพูดอวดท่านแก้พวกมากะโดเนียว่า พวกอะฆายะได้จัดแจงพร้อมแล้วตั้งแต่ปีกลาย
และใจร้อนรนของท่านทั้งหลายเป็นที่เร้าใจคนเป็นอันมากในพวกเขา"
ชี้ให้เห็นว่าคำมั่นสัญญาของพวกเขาให้อย่างเหลือล้นด้วย การให้ของพวกคริสเตียนยุคแรกที่ได้สัญญาไว้ก่อนล่วงหน้าเปรียบเทียบกับการให้ของคริสเตียนในยุคนี้อย่างไร?
"ข้าพเจ้าจะไม่บังคับตัวเองว่าจะให้เท่านั้นเท่านี้ล่วงหน้า"
หรือข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าจะต้องบอกล่วงหน้าว่าจะต้องให้เท่านั้นเท่านี้ล่วงหน้า"
หรือ "ข้าพเจ้าไม่สามารถให้คำสัญญาได้เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร"
หรือ "ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับการสัญญาถวายล่วงหน้า"
3.
เราควรรักษาและกระทำตามคำสัญญาของเรา (2โกรินโธ 8.10-11) คำว่า "กระทำตาม"
ในข้อนี้ ในภาษากรีกมาจากคำว่า "epiteleo" ซึ่งหมายความว่า
นำไปสู่ความเร็จ, บริบูรณ์, ครบถ้วน
4. ให้ด้วยความยินดี
"ทุกคนจงให้ตามซึ่งเขาได้คิดหมายเอาไว้ในใจ มิใช่ด้วยนึกเสียดาย
มิใช่ด้วยขืนใจให้ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี" (2โกรินโธ
9.7) คำว่า "ยินดี" ในที่นี้มาจากภาษากรีกจากคำว่า "hilaros"
ซึ่งแปลว่า ปลื้มใจ ฉะนั้นเปาโลจึงหนุนใจให้เรามีความปลื้มใจยินดีตลอดชั่วชีวิตของเราในการให้
เพราะฉะนั้นเราจะถวายมิใช่เพื่อให้เราเดือดร้อน
แต่เราจะถวายจนกว่าเราจะได้รับความยินดีเกิดขึ้น
พวกชาวมากะโดเนียมีความยินดีเช่นนั้น (2โกรินโธ 8.1-4)
พวกเขาเฝ้ารอการให้ด้วยความยินดี คือเต็มใจให้ โปรดดู เอ็กโซโด 25.2
"จงสั่งชนชาติยิศราเอลให้นำของมาถวายแก่เรา ของนั้นให้รับมาจากทุก ๆ
คนที่เต็มใจถวาย" (บทเพลงสรรเสริญ 110.3)
ภรรยาจะมีความยินดีจากการที่สามีนำของขวัญมาให้โดยกล่าวดังไปนี้หรือไม่?
"ฉันรู้ ถ้าฉันไม่ซื้ออะไรมาให้เธอ เธอก็จะไม่รักฉัน"
มีหลายคนให้พระเจ้าด้วยความรู้สึกที่ไม่เต็มใจให้
5.
คัดเลือกเอาไว้ให้อย่างดีเยี่ยม
1.
พระเจ้าต้องการสิ่งยอดเยี่ยมเป็นที่หนึ่ง (เอ็กโซโด 20.1-6)
มัดธาย 6.33
"แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน
แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้" เราเป็นของคริสตจักร
สามีเป็นของภรรยา ภรรยาเป็นของสามี
นั่นหมายความเขามีสิทธิก่อนใครอื่นหมด
คือชีวิตของภรรยาเป็นที่หนึ่งสำหรับสามี และชีวิตของสามีเป็นที่หนึ่งของภรรยา
เดี๋ยวนี้ เราเป็นของคริสตจักร เพราะฉะนั้นควรเป็นที่หนึ่งในชีวิตของเรา
พระเจ้าประสงค์ผลที่ผลิตแรก ๆ (สุภาษิต 3.9) หญิงหม้ายใน 1พงศาวดารกษัตริย์
17.3-13, 15-16 "ท่านลุกขึ้นไปเมืองซาเล็บตา, เมื่อมาถึงประตูเมืองแล้ว
ที่นั่นมีหญิงหม้ายคนหนึ่งกำลังเก็บฟืนอยู่ ท่านจึงร้องเรียกเขาว่า
ขอน้ำในภาชนะให้ฉันดื่มสักหน่อยเถิด เมื่อเขากำลังไปเอาน้ำนั้น
ท่านร้องบอกหญิงนั้นว่า ขอหยิบขนมปังติดมือมาให้ฉันสักหน่อยด้วย
หญิงนั้นจึงว่าพระยะโฮวาพระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด
ข้าพเจ้าไม่มีขนมปังสักอันหนึ่งเลย
มีแต่แป้งสักกำหนึ่งในหม้อและน้ำนมนิดหน่อยในขวด
และนี่แน่ะฉันเก็บฟืนสองดุ้นเพื่อจะไปทำขนมปังสำหรับดิฉันและบุตร
เมื่อเรากินหมดแล้วเราคงอดตาย และเอลียาจึงกล่าวแก่นางว่า อย่ากลัวเลย
จงทำตามที่เจ้าได้กล่าวนั้น แต่จงทำขนมอันเล็ก ๆ มาให้ฉันก่อน
แล้วจึงทำสำหรับเจ้าและบุตร" นางก็ได้กระทำตามคำขอของเอลียา
เอลียากับนางนั้นและครอบครัวก็ได้กินต่อมาช้านาน แป้งในหม้อนั้นมิได้หมดไป
และน้ำมันในขวดมิได้ขาดตามคำซึ่งพระยะโฮวาได้ทรงตรัสแก่เอลียานั้น"
ลูกา 21.1-3
"พระองค์ทอดพระเนตรเห็นคนมั่งมีทั้งหลายนำเงินมาใส่ในตู้เก็บเงินถวาย
พระองค์ทรงเห็นหญิงม่ายคนหนึ่งเป็นคนจน นำสตางค์แดงสองสตางค์มาใส่ด้วย
พระองค์ตรัสว่า
เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่าหญิงม่ายจนคนนี้ได้ใส่ไว้มากกว่าคนทั้งปวงนั้น"
จะเป็นตัวอย่างได้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้
2. อุทาหรณ์
:
สมาชิกคริสตจักรเป็นจำนวนมากเอาพระเจ้าไว้สุดท้ายในการถวายก็เหมือนกับชายคนหนึ่งที่ซื้อชุดสากลสำหรับตัวเองราคา 1,000 บาท รองเท้าราคา 200 บาท เสื้อเชิ้ตราคา 500 บาท เน็คไทราคา 150
บาท ขณะเดินทางกลับบ้านเขาเห็นเม็ดกระดุมที่วางขายแบกะดินราคา 3 บาท
ซื้อไปให้ภรรยาที่บ้าน เมื่อกลับถึงบ้านสามีก็หยิบ
สิ่งของที่ตนซื้อออกมาให้ภรรยาดู
เสร็จแล้วเขาก็หยิบกระดุมที่ซื้อมาให้เธอราคา 3 บาท พลางก็บอกกับเธอว่า
"ฉันรักเธอ" ท่านคิดไหมว่า เขาหลอกลวงภรรยา? ใช่แน่นอน
ปัจจุบันนี้เราไม่ทำเช่นนั้นกับพระเจ้าดอกหรือ? เราซื้อที่ดิน โทรทัศน์
รถยนต์ ตู้เย็น วิทยุ ตู้เสื้อผ้า ไปเที่ยวสนุก
ซื้อโน่นซื้อนี่ เสร็จแล้ววันอาทิตย์เรากล่าวกับพระเจ้าว่า
"นี่แหละข้าพเจ้าแสดงความรักต่อพระองค์"
ท่านคิดว่าคนเช่นนั้นหลอกลวงพระเจ้าไหม? ใช่แน่นอน
3. ข้อทดสอบ
:
ผู้อารักขาที่สัตย์ซื่อพยายามปรับการดำรงชีวิตของเขาให้สัมพันธ์กับการถวายทรัพย์ของเขา
ในทางตรงกันข้าม
ผู้อารักขาที่ไม่สัตย์ซื่อจะปรับการถวายทรัพย์ของเขาให้เข้ากับการดำรงชีวิตของเขา
ท่านเป็นผู้อารักขาที่สัตย์ซื่อไหม? การที่เราจะกล่าวว่า เราให้น้อยกว่า 10%
ก็เหมือนกับเราสนับสนุนว่า เราสามารถทำได้น้อยกว่าภายใต้คำสัญญาที่ดีกว่า
เฮ็บราย 8.6 "แต่ว่าพระองค์ได้ทรงเป็นคนกลางแห่งคำสัญญาไมตรีอันประเสริฐกว่าเก่า
เพราะได้ทรงตั้งขึ้นโดยคำสัญญาดีกว่าเก่าเท่าใด
บัดนี้พระองค์ได้ตำแหน่งอันเลิศกว่าเก่าเท่านั้น" อย่างไรก็ตาม
หลักการของพระเจ้าก็คือว่า
ยิ่งมีพระพรหรือสิทธิมากความรับผิดชอบก็ย่อมมีมากขึ้น (ลูกา 12.48)
4.
ต่อไปนี้เป็นคำถาม
ซึ่งถ้าตอบโดยพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วจะช่วยให้บุคคลรู้ว่าการถวายของเธอหรือท่านมากหรือน้อย
(1) เมื่อข้าพเจ้าถวายพระเจ้าแล้ว มีเงินเหลือเท่าไร?
(2) ข้าพเจ้ามีโครงการถวายทรัพย์ตลอดทั้งปีอย่างไร?
(3) ข้าพเจ้าควรถวายอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบสิ่งของที่เราจับจ่าย?
(4) ข้าพเจ้าถวายต่อพระเจ้าด้วยจำนวนเงินเท่ากับที่เคยให้เมื่อ 2 ปีก่อน, 5 ปีก่อน
ฯลฯ แม้ว่าข้าพเจ้ามีรายได้มากกว่าปีที่แล้ว ๆ มา?
6. ผลกำไรที่ได้รับ
1.
เราจะได้รับผลกำไรจากการถวายทรัพย์ของเรา
นักกีฬาได้พละกำลังเพิ่มขึ้นโดยการออกกำลัง คนที่ค้าขายได้กำไรจากการลงทุน
ชาวไร่จะเก็บเกี่ยวผลจากไร่ก็โดยการที่หว่านพืช
นักธุรกิจจะขยายกิจการใหญ่ขึ้นก็โดยการใช้เงินมากขึ้นในการโฆษณา
ลูกจ้างที่ก้าวหน้ามากกว่าเพื่อน คือลูกจ้างที่ใช้เวลา 9 ชั่วโมง
เพื่อจะได้เงิน 8 บาทและไม่ทำงาน 8 ชั่วโมงเพื่อเงิน 9 บาท
เรือที่จอดเทียบท่ามิใช่ขนสินค้าที่มีค่าเข้ามา
2.
มีข้อพระคัมภีร์หนุนใจว่า เราไม่ต้องการขาดทุน
แต่เราจะได้กำไรจากการให้ ชายยากจนคนหนึ่งถูกถามว่า ทำไมคุณจึงถวายมาก
ชายคนนั้นตอบว่า "ผมยิ่งตักออกมากเท่าใดพระเจ้าก็จะใส่เข้าไปแทน
เพราะพระองค์มีพลั่วอันใหญ่กว่าของผม"
ข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้จะสนับสนุนความจริงดังกล่าว 2โกรินโธ 9.6
"แต่นี่แหละ คนที่หว่านเล็กน้อยจะเกี่ยวเก็บเล็กน้อย
แต่คนที่หว่านมากจะเกี่ยวเก็บมาก" สุภาษิต 3.10
"เมื่อกระทำเช่นนั้นแล้วยุ้งฉางของเจ้าจะเต็มบริบูรณ์และถังของเจ้าจะเปี่ยมล้นด้วยน้ำองุ่นสด"
มาลาคี 3.10 "พระยะโฮวาจอมพลโยธาตรัสต่อไปว่า
จงเอาบรรดาส่วนสิบชัดหนึ่งนั้นมาส่ำสมไว้ในคลัง
เพื่อจะมีโภชนาหารไว้ในวิหารของเรา และจงมาลองดูเราในเรื่องนี้ ดูทีหรือว่า
เราจะเปิดบัญชรท้องฟ้าให้เจ้าและเทพรให้แก่เจ้าจนเกินความต้องการหรือไม่"
ฟิลิปปอย 4.19
"และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งสารพัดตามที่พวกท่านต้องการนั้นจากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ให้พระเยซูคริสต์"
3.
ศึกษาเป็นพิเศษ ลูกา 6.38 "จงแจกปันให้เขา
และเขาจะแจกปันให้ท่านด้วย
เขาจะตวงด้วยทะนานถ้วนยัดสั่นแน่นพูนล้นใส่ในตักของท่าน
เพราะว่าท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด เขาจะตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น"
จากข้อความนี้ให้เราพิจารณาดูดังต่อไปนี้
(ก)
หลักการในการได้รับผลกำไร คือ "แจกปันให้ เขาจะแจกปันให้"
(ข)
อัตราส่วนในการได้รับผลกำไร คือ "จะตวงด้วยทะนานอันใด เขาจะตวงให้เท่านั้น"
(ค)
ถ้ายัดใส่สั่นแน่พูนล้น เขาก็จะตวงใส่ด้วยยัดใส่สั่นแน่นพูนล้น
(ง)
สิ่งที่ท่านชั่งให้เขาเท่าไร ท่านก็จะได้รับคืนเท่านั้น
ตอบคำถาม คลิกที่นี่ https://docs.google.com/forms/d/1ftWwqUPit48UpSg7EsDwnPikFeTljdzkD3waFHGBxk8/viewform