การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ
    
อัครสาวกเปาโลสั่งผู้ปกครองที่เมืองเอเฟโซว่า 
"ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกสิ่งแล้ว  
เห็นว่าควรจะอุตส่าห์ทำการเพื่อจะได้ช่วยคนที่มีกำลังน้อยและควรจะระลึกถึงคำของพระเยซู 
ซึ่งพระองค์ตรัสว่า การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ" (กิจการ 20.35)  
การให้จะได้รับพระพรเป็นการให้ชนิดไหน  พระคำของพระเจ้าได้สอนไว้ชัดเจนว่า  
การให้ของเราจะต้องเป็นดังต่อไปนี้
1. ทุก ๆ คน
    1โกรินโธ 16.2  
"ทุกวันอาทิตย์ให้พวกท่านทุกคนเก็บเงินผลประโยชน์ที่ได้ไว้บ้างเพื่อจะไม่ต้องเก็บเรี่ยไรเมื่อข้าพเจ้า" 
โปรดดู 2โกรินโธ 9.7 "ทุกคนจงให้ตามซึ่งเขาได้คิดหมายไว้ในใจมิใช่ด้วยนึกเสียดาย, 
มิใช่ด้วยขืนใจให้เพราะว่า  พระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี" (กิจการ 
11.29,  พระบัญญัติ 16.16,  และเอ็กโซโด 25.2)  
ข้อความเหล่านี้สอนว่าทุก ๆ คนควรให้ไม่ว่าจะเป็นคนจนหรือจะเป็นคนรวย, 
เด็กหรือผู้ใหญ่, ตัวคนเดียวหรือแต่งงาน,  เป็นผู้นำหรือผู้ตาม,  
เป็นหม้ายหรือไม่ก็ตาม,  เป็นนักเรียนหรือมีอาชีพ  
เรามักจะเน้นในเรื่องความรับผิดชอบของทุก ๆ คนในข้อต่าง ๆ เช่น กิจการ 2.38 "ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวแก่เขาว่า 
จงกลับใจเสียใหม่และรับบัพติศมาในนามแห่งพระเยซูคริสต์สิ้นทุกคนเพื่อความผิดบาปของท่านจะทรงยกเสีย  
แล้วท่านจะได้รับพระราชทานพระวิญญาณบริสุทธิ์" (2ติโมเธียว 2.19, โรม 14.12)  
แต่ทำไม่เน้น ข้อความใน 1โกรินโธ 16.2  ว่าเป็นความรับผิดชอบของทุก ๆ คน 
ต่อไปนี้อย่าให้เราพูดว่า เรื่องการถวายทรัพย์ 
"ให้เป็นหน้าที่ของคนมีเงินก็แล้วกัน"  หรือ "ใครมีก็ให้ก็แล้วกัน"  
ในจำพวกเราไม่มีผู้ใดจนมากจนต้องยกเว้นได้
    2 โกรินโธ 
8.4-5 "และยังได้วิงวอนเรามากมายขอให้เขาเข้าส่วนในการกุศลที่จะช่วยสิทธชน  
ไม่เหมือนเราได้คาดหมายไว้  
แต่ข้อสำคัญที่สุดได้ถวายตัวเขาเองแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า  
แล้วได้ยอมตัวให้แก่เราตามชอบพระทัยพระเจ้า"  
และก็ไม่มีผู้ใดรวยเกินไปจนไม่ต้องการพระพร  ซึ่งได้รับจากการให้  
ไม่เป็นการยุติธรรมที่เราจะชื่นชมยินดีและหวังผลเลิศของคริสตจักรที่เราประจำอยู่  
โดยที่เราไม่ร่วมแบกภาระและรับผิดชอบในด้านการเงินกับพี่น้องคนอื่น
2. ให้เป็นประจำสม่ำเสมอ
    
"ทุกวันอาทิตย์ให้พวกท่านทุกคนเก็บเงินผลประโยชน์ที่ได้ไว้บ้าง 
เพื่อจะไม่ต้องเก็บเรี่ยไรเมื่อข้าพเจ้ามา"  (1โกรินโธ 16.2)  คำว่า "Kata" 
(ทุก ๆ คน) อยู่ในภาษากรีกขยายคำว่าสัปดาห์  
จากข้อความนี้อธิบายให้เราเข้าใจว่าทุก ๆ สัปดาห์ที่เราได้รับผลกำไรเราควรให้  
(นอกเหนือจากที่เราให้เป็นประจำ)  และมีเตรียมไว้พร้อมที่จะให้  
ถ้าเราละเลยในการถวายทรัพย์ก็ถือว่าเป็นการบาปเช่นเดียวกับการทำพิธีระลึก (กิจการ 
20.7)  "ในวันอาทิตย์เมื่อเราทั้งหลายประชุมกันทำพิธีหักขนมปัง  เปาโลก็สั่งสอนเขา 
เพราะว่าวันรุ่งขึ้นจะลาไปจากเขาแล้ว  ท่านได้กล่าวยืดยาวไปจนถึงเที่ยงคืน"  
เพราะฉะนั้นการถวายทรัพย์ของเรามิได้ขึ้นอยู่กับการที่เราจะต้องเป็นฝ่ายถูกขอ   
ถ้าเราไม่ถูกขอเราก็ควรให้หรือมิใช่  ตะกร้าส่งผ่านมาทางหน้าเราจำเป็นต้องให้  
หรือมิใช่เพราะว่าเราชอบใจคำเทศนา  
นอกจากนั้นถ้าเราจำเป็นต้องไปทำธุระหรือไปต่างจังหวัด 
ไม่สามารถไปร่วมประชุมกับพี่น้องได้ 
เราก็ยังมีความรับผิดชอบในการถวายทรัพย์อยู่นั่นเอง เหตุผลเพราะว่า
    1. 
เราจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ตาม  รายได้ที่เราเกิดผลประโยชน์นั้นเป็นของพระเจ้า
    2. 
รายจ่ายของคริสตจักรต้องจ่ายตามปกติ  ถ้าเรามีเหตุจำเป็นไม่อยู่  
เราควรจะส่งเงินถวายของเราไปให้กับคริสตจักร  
หรือฝากผู้อื่นให้ใส่ตะกร้าแทนเรา  
หรือเมื่อเรากลับมาแล้วเราให้เพิ่มสมทบกับส่วนที่เราไม่อยู่  
ด้วยวิธีวางโครงการประจำสัปดาห์ดังกล่าวจะช่วยให้เราไม่เป็นคนโลภและเห็นแก่ตัว  
ยกอุทาหรณ์  เป็นการง่ายที่จะชำระเงินผ่อนส่งเป็นประจำโดยไม่ขาดตอน   
ดีกว่าปล่อยทิ้งสะสมไว้มาก ๆ แล้วก็เก็บไว้จ่ายหลาย ๆ งวดรวมกันทีเดียว
    
3. ให้โดยมีจุดประสงค์
    1. 
การให้ของเราจะต้องเป็นไปตามที่เราคิดหมายไว้ในใจ (2โกรินโธ 9.7)  
"ต้องตัดสินใจไว้ล่วงหน้า" มิใช่ด้วยความจำใจ  การให้คำทำด้วยความตั้งใจ, 
ตามใจปรารถนา, ด้วยใจมุ่งหมาย, กำหนดไว้ตามแผนแล้ว คิดไว้ก่อนล่วงหน้า,  
ด้วยใจปรารถนา, ตัดสินใจล่วงหน้า,  มิใช่อุบัติเหตุ  
ความรู้สึกในการให้ดังกล่าวเหมือนกับความรู้สึกต่อไปนี้ว่าอย่างไร  
"ข้าพเจ้าจะให้เมื่อตะกร้าผ่านมาในวันอาทิตย์  จะเป็นเท่าไหร่ก็ช่างเถอะ"  
หรือ "ข้าพเจ้าค่อยตัดสินใจทันทีเมื่อตะกร้าผ่านมา"  หรือ 
"ข้าพเจ้าจะให้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่ข้าพเจ้ามีในการฟังคำเทศนา"
    2. 
เราสัญญาสิ่งที่คิดหมายเอาไว้ได้  2โกรินโธ 9.5  
"เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงคิดว่า 
สมควรจะวิงวอนให้พี่น้องเหล่านั้นไปหาท่านทั้งหลายก่อน, 
และตระเตรียมทานของท่านไว้ตามที่ท่านสัญญาแล้ว เพื่อทานนั้นจะมีอยู่พร้อมและจะป็นทานที่ให้ด้วยใจศรัทธา  
มิใช่ด้วยฝืนใจให้"  Thayer ได้ให้คำนิยายคำว่า 
"สัญญาล่วงหน้า" ซึ่งปรากฎอยู่ในข้อนี้ ใจความว่า "ประกาศไว้ก่อนล่วงหน้า 
...เพื่อประกาศก่อนที่จะสัญญา"  ถูกแล้ว การถวายทรัพย์ของพวกโกรินโธได้ประกาศไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว  
ที่จริงเขาได้ประกาศล่วงหน้าไว้แล้วเป็นเวลา 1 ปี  2โกรินโธ 8.10-11 
"และข้าพเจ้าจะออกความเห็นในเรื่องนี้เพราะเป็นการสมควรแก่ท่าน,  
เหตุที่ท่านได้ตั้งต้นก่อนเขาเมื่อปีกลายแล้ว และมิใช่ตั้งตนจะกระทำเท่านั้น  
แต่ว่ามีน้ำใจกระทำด้วย  เหตุฉะนั้นบัดนี้จงกระทำการนั้นให้สำเร็จ  
เพื่อท่านเคยได้มีใจพร้อมอยู่แล้วฉันใด  
ท่านจะได้ให้สำเร็จตามความสามารถของท่านฉันนั้น"  ยิ่งกว่านั้น 2โกรินโธ 9.1-2  
"ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องเขียนหนังสือฝากไปถึงท่านทั้งหลายอีกเรื่องการสงเคราะห์สิทธชนเพราะข้าพเจ้ารู้แล้วว่าใจของท่านพร้อมอยู่แล้ว  
ข้าพเจ้าจึงพูดอวดท่านแก้พวกมากะโดเนียว่า  พวกอะฆายะได้จัดแจงพร้อมแล้วตั้งแต่ปีกลาย  
และใจร้อนรนของท่านทั้งหลายเป็นที่เร้าใจคนเป็นอันมากในพวกเขา"   
ชี้ให้เห็นว่าคำมั่นสัญญาของพวกเขาให้อย่างเหลือล้นด้วย  การให้ของพวกคริสเตียนยุคแรกที่ได้สัญญาไว้ก่อนล่วงหน้าเปรียบเทียบกับการให้ของคริสเตียนในยุคนี้อย่างไร?  
"ข้าพเจ้าจะไม่บังคับตัวเองว่าจะให้เท่านั้นเท่านี้ล่วงหน้า"  
หรือข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าจะต้องบอกล่วงหน้าว่าจะต้องให้เท่านั้นเท่านี้ล่วงหน้า"  
หรือ "ข้าพเจ้าไม่สามารถให้คำสัญญาได้เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร" 
หรือ "ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับการสัญญาถวายล่วงหน้า"
    3. 
เราควรรักษาและกระทำตามคำสัญญาของเรา  (2โกรินโธ 8.10-11) คำว่า "กระทำตาม" 
ในข้อนี้ ในภาษากรีกมาจากคำว่า "epiteleo" ซึ่งหมายความว่า 
นำไปสู่ความเร็จ, บริบูรณ์, ครบถ้วน
4. ให้ด้วยความยินดี
    
"ทุกคนจงให้ตามซึ่งเขาได้คิดหมายเอาไว้ในใจ  มิใช่ด้วยนึกเสียดาย 
มิใช่ด้วยขืนใจให้ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี"  (2โกรินโธ 
9.7)  คำว่า "ยินดี"  ในที่นี้มาจากภาษากรีกจากคำว่า "hilaros" 
ซึ่งแปลว่า ปลื้มใจ  ฉะนั้นเปาโลจึงหนุนใจให้เรามีความปลื้มใจยินดีตลอดชั่วชีวิตของเราในการให้  
เพราะฉะนั้นเราจะถวายมิใช่เพื่อให้เราเดือดร้อน  
แต่เราจะถวายจนกว่าเราจะได้รับความยินดีเกิดขึ้น  
พวกชาวมากะโดเนียมีความยินดีเช่นนั้น  (2โกรินโธ 8.1-4)  
พวกเขาเฝ้ารอการให้ด้วยความยินดี คือเต็มใจให้  โปรดดู เอ็กโซโด 25.2  
"จงสั่งชนชาติยิศราเอลให้นำของมาถวายแก่เรา  ของนั้นให้รับมาจากทุก ๆ 
คนที่เต็มใจถวาย" (บทเพลงสรรเสริญ 110.3)  
ภรรยาจะมีความยินดีจากการที่สามีนำของขวัญมาให้โดยกล่าวดังไปนี้หรือไม่?  
"ฉันรู้ ถ้าฉันไม่ซื้ออะไรมาให้เธอ เธอก็จะไม่รักฉัน"   
มีหลายคนให้พระเจ้าด้วยความรู้สึกที่ไม่เต็มใจให้
5. 
คัดเลือกเอาไว้ให้อย่างดีเยี่ยม
    1. 
พระเจ้าต้องการสิ่งยอดเยี่ยมเป็นที่หนึ่ง  (เอ็กโซโด 20.1-6)   
มัดธาย 6.33 
"แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน  
แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้"  เราเป็นของคริสตจักร   
สามีเป็นของภรรยา  ภรรยาเป็นของสามี  
นั่นหมายความเขามีสิทธิก่อนใครอื่นหมด  
คือชีวิตของภรรยาเป็นที่หนึ่งสำหรับสามี  และชีวิตของสามีเป็นที่หนึ่งของภรรยา 
เดี๋ยวนี้ เราเป็นของคริสตจักร เพราะฉะนั้นควรเป็นที่หนึ่งในชีวิตของเรา  
พระเจ้าประสงค์ผลที่ผลิตแรก ๆ (สุภาษิต 3.9)  หญิงหม้ายใน 1พงศาวดารกษัตริย์ 
17.3-13, 15-16  "ท่านลุกขึ้นไปเมืองซาเล็บตา,  เมื่อมาถึงประตูเมืองแล้ว  
ที่นั่นมีหญิงหม้ายคนหนึ่งกำลังเก็บฟืนอยู่  ท่านจึงร้องเรียกเขาว่า 
ขอน้ำในภาชนะให้ฉันดื่มสักหน่อยเถิด   เมื่อเขากำลังไปเอาน้ำนั้น  
ท่านร้องบอกหญิงนั้นว่า ขอหยิบขนมปังติดมือมาให้ฉันสักหน่อยด้วย  
หญิงนั้นจึงว่าพระยะโฮวาพระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด  
ข้าพเจ้าไม่มีขนมปังสักอันหนึ่งเลย  
มีแต่แป้งสักกำหนึ่งในหม้อและน้ำนมนิดหน่อยในขวด  
และนี่แน่ะฉันเก็บฟืนสองดุ้นเพื่อจะไปทำขนมปังสำหรับดิฉันและบุตร  
เมื่อเรากินหมดแล้วเราคงอดตาย  และเอลียาจึงกล่าวแก่นางว่า อย่ากลัวเลย  
จงทำตามที่เจ้าได้กล่าวนั้น แต่จงทำขนมอันเล็ก ๆ มาให้ฉันก่อน 
แล้วจึงทำสำหรับเจ้าและบุตร"  นางก็ได้กระทำตามคำขอของเอลียา  
เอลียากับนางนั้นและครอบครัวก็ได้กินต่อมาช้านาน  แป้งในหม้อนั้นมิได้หมดไป  
และน้ำมันในขวดมิได้ขาดตามคำซึ่งพระยะโฮวาได้ทรงตรัสแก่เอลียานั้น"
    ลูกา 21.1-3  
"พระองค์ทอดพระเนตรเห็นคนมั่งมีทั้งหลายนำเงินมาใส่ในตู้เก็บเงินถวาย  
พระองค์ทรงเห็นหญิงม่ายคนหนึ่งเป็นคนจน  นำสตางค์แดงสองสตางค์มาใส่ด้วย  
พระองค์ตรัสว่า  
เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่าหญิงม่ายจนคนนี้ได้ใส่ไว้มากกว่าคนทั้งปวงนั้น"  
จะเป็นตัวอย่างได้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้
    2. อุทาหรณ์
: 
สมาชิกคริสตจักรเป็นจำนวนมากเอาพระเจ้าไว้สุดท้ายในการถวายก็เหมือนกับชายคนหนึ่งที่ซื้อชุดสากลสำหรับตัวเองราคา  1,000 บาท รองเท้าราคา 200 บาท  เสื้อเชิ้ตราคา 500 บาท  เน็คไทราคา 150 
บาท  ขณะเดินทางกลับบ้านเขาเห็นเม็ดกระดุมที่วางขายแบกะดินราคา 3 บาท  
ซื้อไปให้ภรรยาที่บ้าน  เมื่อกลับถึงบ้านสามีก็หยิบ  
สิ่งของที่ตนซื้อออกมาให้ภรรยาดู  
เสร็จแล้วเขาก็หยิบกระดุมที่ซื้อมาให้เธอราคา 3 บาท  พลางก็บอกกับเธอว่า 
"ฉันรักเธอ"  ท่านคิดไหมว่า เขาหลอกลวงภรรยา?  ใช่แน่นอน  
ปัจจุบันนี้เราไม่ทำเช่นนั้นกับพระเจ้าดอกหรือ?  เราซื้อที่ดิน  โทรทัศน์  
รถยนต์  ตู้เย็น  วิทยุ  ตู้เสื้อผ้า  ไปเที่ยวสนุก  
ซื้อโน่นซื้อนี่  เสร็จแล้ววันอาทิตย์เรากล่าวกับพระเจ้าว่า 
"นี่แหละข้าพเจ้าแสดงความรักต่อพระองค์"  
ท่านคิดว่าคนเช่นนั้นหลอกลวงพระเจ้าไหม?  ใช่แน่นอน
    3. ข้อทดสอบ
: 
ผู้อารักขาที่สัตย์ซื่อพยายามปรับการดำรงชีวิตของเขาให้สัมพันธ์กับการถวายทรัพย์ของเขา  
ในทางตรงกันข้าม  
ผู้อารักขาที่ไม่สัตย์ซื่อจะปรับการถวายทรัพย์ของเขาให้เข้ากับการดำรงชีวิตของเขา  
ท่านเป็นผู้อารักขาที่สัตย์ซื่อไหม?  การที่เราจะกล่าวว่า เราให้น้อยกว่า 10% 
ก็เหมือนกับเราสนับสนุนว่า เราสามารถทำได้น้อยกว่าภายใต้คำสัญญาที่ดีกว่า  
เฮ็บราย 8.6 "แต่ว่าพระองค์ได้ทรงเป็นคนกลางแห่งคำสัญญาไมตรีอันประเสริฐกว่าเก่า  
เพราะได้ทรงตั้งขึ้นโดยคำสัญญาดีกว่าเก่าเท่าใด  
บัดนี้พระองค์ได้ตำแหน่งอันเลิศกว่าเก่าเท่านั้น"  อย่างไรก็ตาม  
หลักการของพระเจ้าก็คือว่า  
ยิ่งมีพระพรหรือสิทธิมากความรับผิดชอบก็ย่อมมีมากขึ้น (ลูกา 12.48)
    4. 
ต่อไปนี้เป็นคำถาม 
ซึ่งถ้าตอบโดยพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วจะช่วยให้บุคคลรู้ว่าการถวายของเธอหรือท่านมากหรือน้อย
        
(1) เมื่อข้าพเจ้าถวายพระเจ้าแล้ว มีเงินเหลือเท่าไร?
        
(2) ข้าพเจ้ามีโครงการถวายทรัพย์ตลอดทั้งปีอย่างไร?
        
(3) ข้าพเจ้าควรถวายอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบสิ่งของที่เราจับจ่าย?
        
(4) ข้าพเจ้าถวายต่อพระเจ้าด้วยจำนวนเงินเท่ากับที่เคยให้เมื่อ 2 ปีก่อน, 5 ปีก่อน 
ฯลฯ  แม้ว่าข้าพเจ้ามีรายได้มากกว่าปีที่แล้ว ๆ มา?
6. ผลกำไรที่ได้รับ
    1. 
เราจะได้รับผลกำไรจากการถวายทรัพย์ของเรา  
นักกีฬาได้พละกำลังเพิ่มขึ้นโดยการออกกำลัง  คนที่ค้าขายได้กำไรจากการลงทุน  
ชาวไร่จะเก็บเกี่ยวผลจากไร่ก็โดยการที่หว่านพืช 
นักธุรกิจจะขยายกิจการใหญ่ขึ้นก็โดยการใช้เงินมากขึ้นในการโฆษณา 
ลูกจ้างที่ก้าวหน้ามากกว่าเพื่อน  คือลูกจ้างที่ใช้เวลา 9 ชั่วโมง  
เพื่อจะได้เงิน 8 บาทและไม่ทำงาน 8 ชั่วโมงเพื่อเงิน 9 บาท  
เรือที่จอดเทียบท่ามิใช่ขนสินค้าที่มีค่าเข้ามา
    2. 
มีข้อพระคัมภีร์หนุนใจว่า  เราไม่ต้องการขาดทุน  
แต่เราจะได้กำไรจากการให้   ชายยากจนคนหนึ่งถูกถามว่า ทำไมคุณจึงถวายมาก  
ชายคนนั้นตอบว่า "ผมยิ่งตักออกมากเท่าใดพระเจ้าก็จะใส่เข้าไปแทน  
เพราะพระองค์มีพลั่วอันใหญ่กว่าของผม"  
ข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้จะสนับสนุนความจริงดังกล่าว  2โกรินโธ 9.6  
"แต่นี่แหละ คนที่หว่านเล็กน้อยจะเกี่ยวเก็บเล็กน้อย  
แต่คนที่หว่านมากจะเกี่ยวเก็บมาก"  สุภาษิต 3.10 
"เมื่อกระทำเช่นนั้นแล้วยุ้งฉางของเจ้าจะเต็มบริบูรณ์และถังของเจ้าจะเปี่ยมล้นด้วยน้ำองุ่นสด"   
มาลาคี 3.10 "พระยะโฮวาจอมพลโยธาตรัสต่อไปว่า 
จงเอาบรรดาส่วนสิบชัดหนึ่งนั้นมาส่ำสมไว้ในคลัง  
เพื่อจะมีโภชนาหารไว้ในวิหารของเรา  และจงมาลองดูเราในเรื่องนี้ ดูทีหรือว่า  
เราจะเปิดบัญชรท้องฟ้าให้เจ้าและเทพรให้แก่เจ้าจนเกินความต้องการหรือไม่"   
ฟิลิปปอย 4.19 
"และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งสารพัดตามที่พวกท่านต้องการนั้นจากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ให้พระเยซูคริสต์"
    3. 
ศึกษาเป็นพิเศษ  ลูกา 6.38  "จงแจกปันให้เขา  
และเขาจะแจกปันให้ท่านด้วย  
เขาจะตวงด้วยทะนานถ้วนยัดสั่นแน่นพูนล้นใส่ในตักของท่าน  
เพราะว่าท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด  เขาจะตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น"  
จากข้อความนี้ให้เราพิจารณาดูดังต่อไปนี้
    (ก) 
หลักการในการได้รับผลกำไร คือ "แจกปันให้ เขาจะแจกปันให้"
    (ข) 
อัตราส่วนในการได้รับผลกำไร คือ "จะตวงด้วยทะนานอันใด เขาจะตวงให้เท่านั้น"
    (ค) 
ถ้ายัดใส่สั่นแน่พูนล้น เขาก็จะตวงใส่ด้วยยัดใส่สั่นแน่นพูนล้น
    (ง) 
สิ่งที่ท่านชั่งให้เขาเท่าไร  ท่านก็จะได้รับคืนเท่านั้น
ตอบคำถาม คลิกที่นี่  https://docs.google.com/forms/d/1ftWwqUPit48UpSg7EsDwnPikFeTljdzkD3waFHGBxk8/viewform 
