คริสเตียนเป็นสมาชิกในกายเดียวกัน
    
คริสตจักรเป็นพระกายของพระคริสต์ เอเฟโซ 1.22-23 
"พระองค์ได้ทรงปราบสิ่งสารพัดทั้งปวงลงไว้ใต้พระบาทของพระองค์ 
และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจ้กรซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ 
คือซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ ผู้สถิตอยู่ทั่วทุกแห่งทุกตำบล"  โกโลซาย 1.18 
"พระองค์เป็นศีรษะของกายคือคริสตจักรนั้น ด้วยพระองค์นั้นเป็นปฐม 
เป็นคนแรกที่เป็นขึ้นมาจากตาย  เพื่อพระองค์จะได้เป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวง"  
ประกอบด้วยสมาชิกหลาย ๆ คน สมาชิกเหล่านี้มีความรับผิดชอบร่วมกันและต่อกันและกัน 
(1โกรินโธ 12.12-27)  โรม 12.5 
"เราทั้งหลายผู้เป็นหลายคนยังเป็นกายอันเดียวในพระคริสต์  
และเป็นอวัยวะแก่กันและกันฉันนั้น" 
ขอให้เราศึกษาหน้าที่รับผิดชอบบางอย่างดังต่อไปนี้
1. 
"จงต้อนรับเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน"
    
"ท่านทั้งหลายจงต้อนรับเลี้ยงดูซึ่งกันและกันโดยไม่บ่น" (1เปโตร 4.9)  
โปรดศึกษาโรม 12.13 "จงเข้าส่วนช่วยสิทธิชนในการขัดสนของเขา จงมีน้ำใจรับรองแขก"  
เฮ็บราย 13.2 "อย่าลืมแสดงกริยาต้อนรับแขกแปลกหน้า เพราะว่าโดยอาการกระทำเช่นนั้น 
บางคนก็ได้รับรองทูตสวรรค์โดยไม่ทันรู้ตัว"  (1ติโมเธียว 5.10, 3.2,  
ติโต 1.8)
    (1) 
ตัวอย่างผู้ที่ต้อนรับเลี้ยงดู  อับราฮาม เยเนซิศ 18.6 
"ฝ่ายอับราฮามก็รีบเข้าไปในทับอาศัยบอกนางซาราว่า  
จงเร่งจัดแจงแป้งที่ละเอียดสามทะนานมาขยำทำขนม"  หญิงชาวซุเนม  
2พงศาวดารกษัตริย์ 4.8 "อยู่มาวันหนึ่งอะลีซาไปยังเมืองซุเนม  
มีหญิงผู้ดีคนหนึ่งอยู่ที่นั่น  หญิงนั้นก็ชักชวนเชิญท่านเข้าไปรับประทานอาหาร  
เมือท่านผ่านมาทางนั้นทุก ๆ ครั้ง ก็เคยแวะรับประทานอาหารที่นั่นเสมอ"  และมาธา  
ลูกา 1.38-42  คนเหล่านี้เป็นผู้ต้อนรับแขกดี
    (2) 
การต้นรับแขกในบ้านของเราปัจจุบัน  เชิญสมาชิกคริสตจักรไปบ้านแขกที่มาเยี่ยม  
เชิญพวกอนุชน การจัดประชุมโซนที่บ้าน เชิญสมาชิกคริสเตียนใหม่ ฯลฯ
2. "รักซึ่งกันและกัน"
    
"สิ่งเหล่านี้เราสั่งท่านทั้งหลายไว้เพื่อท่านจะรักซึ่งกันและกัน" (โยฮัน 15.17)  
โปรดศึกษา 1เปโตร 1.22-23  
"โดยเหตุที่ท่านทั้งหลายได้ชำระจิตใจของตนแล้วด้วยเชื่อฟังความจริง  
จนมีใจรักพวกพี่น้องด้วยความรักอันแท้  
ท่านทั้งหลายจงรักซึ่งกันและกันเป็นอันมากด้วยน้ำใสใจจริงด้วยว่าท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่  
ไม่ใช่จากพืชที่จะเปื่อยเน่าเสีย  
แต่จากพืชอันไม่รู้เปื่อยเน่าคือด้วยพระคำของพระเจ้า"  เฮ็บราย 13.1 
"จงให้ความรักพวกพี่น้องมีต่อกันอยู่เสมอไป"  (เอเฟโซ 4.31-32)
    (1) 
ความจำเป็นสำหรับความรักฉันพี่น้อง
        
(ก) เป็นเครื่องหมายของการเป็นศิษย์แท้  โยฮัน 13.35  
"คนทั้งปวงจะรู้ได้ว่าเจ้าเป็นเหล่าสาวกของเราก็เพราะว่าเจ้าทั้งหลายซึ่งกันและกัน"
        
(ข) เป็นคำสั่ง  โยฮัน 15.12 "นี่แหละเป็นบัญญัติของเรา 
คือให้ท่านทั้งหลายรักกันและกันเหมือนเราได้รักท่าน"  1โยฮัน 4.21 
"พระบัญญัตินี้แหละเราทั้งหลายได้มาจากพระองค์คือว่า 
ให้คนที่รักพระเจ้ารักพี่น้องของตนด้วย"
        
โปรดอ่าน 1โยฮัน 2.3-4  "ถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์  
เราคงทราบว่าเรารู้จักพระองค์  คนใด ๆ ที่ว่า "ข้าพเจ้ารักพระองค์  
แต่มิได้ประพฤติตามบัญญัติของพระองค์  
คนนั้นเป็นคนพูดมุสาและความจริงไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย"  (วิวรณ์ 22.14,  
1โยฮัน 3.23-24)
        
(ค) เป็นสิ่งเยี่ยมที่สุด  1เปโตร 4.8  
"ยิ่งกว่าอะไรหมดก็จงรักซึ่งกันและกันให้มาก  
ด้วยว่าความรักก็ปกปิดความผิดไว้มากหลาย"
        
(ง) เป็นการทำให้พระบัญญัติสำเร็จ  โรม 13.10  
"ความรักไม่ประทุษร้ายแก่เพื่อนบ้าน เหตุฉะนั้นความรักจึงเป็นที่ให้พระบัญญัติสำเร็จ"
        
(จ) เป็นพระบัญญัติที่สำคัญอันดับสอง   มัดธาย 22.37-40  
"พระเยซูทรงตอบเขาว่า จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า  
และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า  นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อต้นข้อใหญ่  
ข้อที่สองก็เหมือนกันคือจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง  
บัญญัติและคำพยากรณ์ทั้งสิ้นก็รวมอยู่ในบัญญัติสองข้อนี้"
        
(ฉ) จะต้องรักษาพระบัญญัติข้อนี้เพื่อจะไม่สะดุด  1โยฮัน 2.10  
"ผู้ที่รักพี่น้องของตนจึงอยู่ในความสว่าง  
และไม่มีช่องที่จะให้สะดุดสะดากในคนนั้นเลย"
        
(ช) เราต้องรักษาพระบัญญัติข้อนี้  ถ้าเราจะดำเนินอยู่ในความสว่าง  1โยฮัน 
2.9-11 "คนใดที่กล่าวว่าตนอยุ่ในความสว่างและยังเกลียดชังพี่น้องของตัวก็อยู่ในความมืด  
และไม่รู้ว่าตัวไปข้างไหนเพราะว่าความมืดทำให้ตาของเขาบอดไปเสียแล้ว"
        
(ซ) เป็นเครื่องหมายของการเป็นบุตรของพรเจ้า  1โยฮัน 3.10 
"เช่นนั้นแหละจึงได้ปรากฏว่าใครเป็นบุตรของพระเจ้า  
และใครเป็นลูกของมารคือว่าคนใดที่ไม่ได้ประพฤติตามความชอบธรรมและไม่ได้รักพี่น้องของตน 
คนนั้นก็ไม่ได้บังเกิดมาจากพระเจ้า"
        
(ฌ) เป็นเครื่องหมายของการกลับใจบังเกิดใหม่และชีวิตฝ่ายวิญญาณจิต   1โยฮัน 
3.14 "เราทั้งหลายรู้ว่าเราพ้นจากความตายไปถึงซึ่งชีวิตแล้ว  
เพราะเรารักพวกพี่น้องคนใดที่ไม่มีความรักผู้นั้นก็ยังอยู่ในความตาย"
        
(ญ) ถ้าปราศจากความรัก เราเป็นดุจฆาตกร  1โยฮัน 3.15  
"ผู้หนึ่งผู้ใดที่เกลียดชังพี่น้องของตนก็ย่อมเป็นผู้ฆ่าคนและท่านทั้งหลายรู้แล้วว่า 
ผู้ฆ่าคนไม่มีชีวิตนิรันดร์อยู่ในตัวเลย"
        
(ฎ) เราต้องยึดถือเพื่อเป็นของพระเจ้า เพื่อบังเกิดจากพระเจ้าและเพื่อรู้จักพระเจ้า  
1โยฮัน 4.7-8 "ดูก่อนพวกพี่รัก ให้เราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน 
เพราะว่าความรักเป็นมาจากพระเจ้า  และทุกคนที่รักก็บังเกิดมาจากพระเจ้า  
และรู้จักพระเจ้า  ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า  
เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก"
        
(ฏ) เราควรรักซึ่งกันและกันเพราะพระเจ้าทรงรักเรา  1โยฮัน 4.11 
"ดูก่อนพวกที่รัก ถ้าพระเจ้าทรงรักเราทั้งหลายเช่นนั้น 
เราก็ควรจะรักซึ่งกันและกันด้วย"
        
(ฐ) เราควรรักซึ่งกันและกันเพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา  
ความรักของพระองค์สำเร็จในเรา  1โยฮัน 4.12 
"หามีคนใดได้แลเห็นพระเจ้าในเวลาใดไม่  ถ้าเราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน  
พระเจ้าสถิตอยู่ในเราทั้งหลายและความรักของพระองค์ก็สำเร็จในเรา"
        
(ฑ) ถ้าเราไม่รักซึ่งกันและกัน เราก็ไม่มีความรักต่อพระเจ้า  1โยฮัน 4.20 
"ถ้าผู้ใดว่า ข้าพเจ้ารักพระเจ้า  
และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตัวผู้นั้นเป็นคนพูดมุสา  
เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้วจะรักพระเจ้าที่ยังไม่ได้แลเห็นอย่างไรได้?"
    (2) 
ข้อปฏิบัติในการักพี่น้อง
        
(ก) เราควรรักซึ่งกันและกันเหมือนองค์พระผู้เป็นเจ้ารักเรา  โยฮัน 13.34 
"เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย  คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน 
เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วฉันใด เจ้าจงรักซึ่งกันและกันด้วยฉันนั้น"  
พระองค์ทรงรักเรามากจนยินดีเสียสละชีวิตของพระองค์  โยฮัน 3.16  
"เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ 
เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะมิได้พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์"
        
(ข) เราควรรักซึ่งกันและกันเหมือนเรารักตนเอง  มัดธาย 22.39 
"ข้อที่สองก็เหมือนกันคือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง"
        
(ค) เราควรรักซึ่งกันและกันด้วยความรักอันแท้  และด้วยน้ำใสใจจริง  1เปโตร 
1.22  "โดยเหตุที่ท่านทั้งหลายได้ชำระจิตใจของตนแล้วด้วยเชื่อฟังความจริง 
จนมีใจรักพวกพี่น้องด้วยความรักอันแท้  
ท่านทั้งหลายจงรักซึ่งกันและกันเป็นอันมากด้วยน้ำใสใจจริง" คำว่า "ด้วยน้ำใสใจจริง" 
หมายความว่า รักแท้, จริงใจ, อดทน  ใจของเราควรบริสุทธิ์จากการอิจฉา, แค้น, 
เกลียด, ขุ่นเคือง, ริษยา, ใจอคติ ฯลฯ
        
(ง) เราควรรักซึ่งกันและกันด้วยการกระทำมิใช่ด้วยวาจาเท่านั้น  1โยฮัน 3.18 
"ดูก่อนลูกเล็ก ๆ ทั้งหลาย อย่าให้เรารักเพียงแต่ถ้อยคำและลิ้นเท่านั้น  
แต่ให้เรารักด้วยการประพฤติและด้วยความจริง"  โปรดดู ฆะลาเตีย 6.10,  ลูกา 
10.30-37,  มัดธาย 25.31-46,  กิจการ 11.27-30
        
(จ) พิจารณาดู 1โกรินโธ 13.4-7  "ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้  
ความรักไม่อิจฉา ไม่อวยตัว ไม่จองหอง ไม่ได้กระทำสิ่งอันเป็นที่น่าอายกระดาก  
ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่มีใจหงุดหงิด ไม่ช่างจดจำความผิด  
ไม่ยินดีในการประพฤติผิด  แต่มีความยินดีในการประพฤติชอบ  
ไม่แคะไค้คุ้ยเขี่ยความผิดของเขา  และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ  
และมีความหวังอยู่เสมอ  และเพียรทนเอาทุกอย่าง"  
จะช่วยให้เข้าใจการแสดงความรักต่อพี่น้องได้เป็นอย่างดี
3. "จงอธิษฐานเพื่อกันและกัน"
    ยาโกโบ 5.16 
"เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงสารภาพรับผิดต่อกันและกัน, 
และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน, เพื่อท่านทั้งหลายจะได้หายโรค 
คำอธิษฐานด้วยใจร้อนรนแห่งผู้ชอบธรรมก็มีอำนาจมาก 
ซึ่งจะนำให้เกิดผล"  การที่ไม่อธิษฐานเพื่อกันและกันเป็นการบาป  1ซามูเอล 
12.23 " อีกประการหนึ่ง, ส่วนข้าพเจ้า, 
ขอพระยะโฮวาทรงห้ามปรามอย่าให้ข้าพเจ้ากระทำผิดต่อพระองค์, 
โดยเว้นคำอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลาย, แต่ข้าพเจ้าจะสั่งสอนให้ท่านทั้งหลายรู้ทางดี, 
และทางชอบธรรม"  เราต้องหลีกเลี่ยงความเห็นแก่ตัวเมื่อเราอธิษฐาน
    ลูกา 18.14 
"เราบอกท่านทั้งหลายว่า, 
คนนี้แหละเมื่อกลับไปยังบ้านของตนก็นับว่าชอบธรรมยิ่งกว่าอีกคนหนึ่งนั้น 
เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง, 
แต่ทุกคนที่ได้ถ่อมตัวลงจะต้องถูกยกขึ้น"
    (1) 
ตัวอย่างของผู้ที่อธิษฐานเพื่อผู้อื่น  เช่น (1) อัครสาวกเปาโล  ฟิลิปปอย 
1.4, 9 "และทุกเวลาที่ข้าพเจ้าอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลาย 
ข้าพเจ้าไดทูลขอด้วยใจยินดี"  (ข้อ 9) "และข้าพเจ้าอธิษฐานขอดังนี้ว่า 
ให้ความรักของท่านทั้งหลายจำเริญยิ่ง ๆ ขึ้นในความรู้ และในการสังเกตทุกอย่าง"  
(โกโลซาย 1.3, 9-11,  1เธซะโลนิเก 1.2,  2ติโมเธียว 1.3)   (2) 
โมเซ  เอ็กโซโด 32.31  "โมเซจึงกลับไปเฝ้าพระยะโฮวาทูลว่า  
โอพระเจ้าข้า พลไพร่นี้ได้ทำผิดใหญ่ยิ่ง  เขาได้ทำพระด้วยทองคำ"   
(3) พระเยซู  โยฮัน 17.3 "นี่แหละเป็นชีวิตนิรันดร์ 
คือว่าให้เขารู้จักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว  
และรู้จักผู้ที่พระองค์ทรงใช้มาคือพระเยซูคริสต์"  
ทั้งหมดที่กล่าวมาได้อธิษฐานเพื่อผู้อื่น
    (2) 
ในการอธิษฐานเพื่อผู้อื่นนั้น  เราควรอธิษฐานเพื่อผู้ใดโดยเฉพาะ?  
        
1) เผื่อผู้ปกครอง  เฮ็บราย 13.17 
"ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังและยอมอยู่ในโอวาทของคนเหล่านั้นที่ปกครองท่าน 
ด้วยว่าท่านเหล่านั้นคอยระวังดูจิตต์วิญญาณของท่าน, 
เหมือนกับผู้ที่จะต้องรายงาน เพื่อเขาจะได้ทำการนี้ด้วยความชื่นใจ, 
ไม่ใช่ด้วยความเศร้าใจ 
เพราะว่าที่ทำดังนั้นก็จะไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่ท่านทั้งหลาย"
        
2) เพื่อนักเทศน์  เอเฟโซ 6.18-20  "และโดยคำอธิษฐานวิงวอนทุกอย่าง 
จงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่าง 
และอธิษฐานเพื่อสิทธิชนทั้งหมด,  และอธิษฐานเพื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อจะทรงประทานให้ข้าพเจ้ามีคำพูดและเกิดใจกล้าออกปากสำแดงข้อลับลึกแห่งกิตติคุณ  
เพราะกิตติคุณนั้นแหละข้าพเจ้าเป็นทูตแต่ต้องติดโซ่อยู่ เพื่อข้าพเจ้าจะได้เล่ากิตติคุณนั้นด้วยใจกล้าตามที่ข้าพเจ้าควรจะกล่าว"
        
3) เพื่อคนเจ็บ  ยาโกโบ 5.14  "ในพวกท่านมีผู้ใดป่วยหรือ 
ก็ให้ผู้นั้นเชิญพวกผู้ปกครองในคริสตจักรมาอธิษฐานเพื่อเขา และชะโลมทาเขาด้วยน้ำมันในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า"
        
4) เพื่อสมาชิกทุกคน  ฟิลิปปอย 1.9 " และข้าพเจ้าอธิษฐานขอดังนี้ว่า, 
ให้ความรักของท่านทั้งหลายจำเริญยิ่งๆ ขึ้นในความรู้, 
และในการสังเกตทุกอย่าง  
เพื่อท่านทั้งหลายจะพิจารณาได้ว่าไหนประเสริฐ 
และเพื่อท่านจะได้เป็นคนสัตย์ซื่อ 
และไม่เป็นที่ติได้จนถึงกาลวันแห่งพระคริสต์" 
4. 
"จงสารภาพรับผิดต่อกันและกัน"
    ยาโกโบ 5.16 " 
เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงสารภาพรับผิดต่อกันและกัน, 
และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน, เพื่อท่านทั้งหลายจะได้หายโรค 
คำอธิษฐานด้วยใจร้อนรนแห่งผู้ชอบธรรมก็มีอำนาจมาก 
ซึ่งจะนำให้เกิดผล"  โปรดดู 1โยฮัน 1.8-10
    (1) หมายถึง 
สารภาพความอ่อนแอของตนเพื่อขอคำแนะนำช่วยเหลือจากพี่น้องเพื่อจะได้รับชัยชนะ
    (2) 
อาจหมายถึงการสารภาพต่อหน้าที่ประชุม  เพื่อขอให้คริสตจักรอธิษฐานเผื่อเขา  
เพื่อจะได้รับการหนุนใจเพื่อชีวิตที่ดีต่อไป
    (3) หมายถึง 
การขอโทษจากพี่น้องเมื่อเราทำผิดแล้วกลับใจ
    ลูกา 17.3-4 
"จงระวังตัวให้ดีถ้าพี่น้องผิดต่อท่าน, 
จงต่อว่าเขาและถ้าเขากลับใจแล้ว, จงยกโทษให้เขา  แม้เขาจะผิดต่อท่านวันละเจ็ดหน, 
และจะกลับมาหาท่านทั้งเจ็ดหนนั้นแล้วว่า ‘ฉันกลับใจแล้ว’ 
จงยกโทษให้เขาเถิด"
5. "พิจารณาดูกันและกัน"
    เฮ็บราย 10.24 
"และให้เราพิจารณาดูกันและกัน, 
เพื่อเป็นเหตุให้บังเกิดใจรักซึ่งกันและกันและกระทำการดี"  
เราควรพิจารณาความรู้สึกของกันและกัน
    (1) 
เราควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้เกิดความหมางใจกัน  ฟิลิปปอย 2.4 
"อย่าให้ต่างคนต่างคิดแต่การงานของตนฝ่ายเดียว, 
แต่ให้คิดถึงการงานของคนอื่นๆ ด้วย  ท่านทั้งหลายจงมีน้ำใจอย่างนี้, 
เหมือนอย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงมีด้วย"
    (2) 
เราควรพิจารณาชื่อเสียงและอิทธิพลซึ่งกันและกัน  
ควรหลีกเลี่ยงคำพูดที่อาจทำลายชื่อเสียงของผู้อื่น  
เพราะจะเป็นการทำลายอิทธิพลความนับถือของผู้นั้นไปเสีย  1ติโมเธียว 4.11-12 
"จงบัญชาและสั่งสอนข้อความเหล่านี้เถิด   อย่าให้ผู้ใดหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่นของท่าน, 
แต่จงเป็นแบบแก่คนทั้งปวงที่เชื่อ ในทางวาจา, การประพฤติ, ความรัก, 
ความเชื่อ, และความบริสุทธิ์"
    (3) 
เราควรพิจารณาใจวินิจฉัยของผู้อื่น  1โกรินโธ 8.12-13 
"และเมื่อท่านทำผิดอย่างนั้นต่อพวกพี่น้อง 
โดยทำร้ายแก่ใจวินิจฉัยผิดและชอบอันอ่อนของเขา, 
ดังนั้นท่านจึงได้กระทำผิดต่อพระคริสต์ด้วย   เหตุฉะนั้นถ้าอาหารเป็นเหตุให้พี่น้องของข้าพเจ้าหลงผิด, ข้าพเจ้าก็จะไม่กินเนื้อสัตว์ต่อไปเป็นนิตย์, 
เกรงว่าข้าพเจ้าจะทำให้พี่น้องหลงผิดไป" 
6. 
"จงปรนนิบัติรับใช้กันและกัน"
    ฆะลาเตีย 5.13  
"ดูก่อนพวกพี่น้องทั้งหลาย, 
ที่ทรงเรียกท่านทั้งหลายนั้นก็เพื่อจะให้มีเสรีภาพ 
แต่อย่าเอาเสรีภาพของท่านเป็นช่องสำหรับปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง 
จงปรนนิบัติซึ่งกันและกันโดยความรักเถิด"  โปรดดู 1เปโตร 4.10
    (1) 
การรับใช้ผู้อื่นเป็นเนื้อแท้ของความยิ่งใหญ่  มัดธาย 20.27-28 
"ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้นก็ให้ผู้นั้นเป็นทาสของพวกท่าน  แม้ว่าบุตรมนุษย์ก็ดีมิได้มาเพื่อให้เขาปรนนิบัติแต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา, 
และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก"  
ความเป็นใหญ่มิได้วัดกันว่าบุคคลมีลูกจ้างกี่คน  
แต่วัดกันว่าเขาบริการผู้อื่นมากน้อยเพียงไร
    (2) 
การรับใช้ผู้อื่นเท่ากับรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า  มัดธาย 25.40  
"แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่เขาว่า ‘เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่ผู้เล็กน้อยที่สุดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนท่านได้กระทำแก่เราด้วย"  (กิจการ 9.1-4)  
ถ้าพระเยซูอยู่ในโลกนี้  เราคงรับใช้พระองค์เหมือนมาเรีย, มาธา และลาซะโร  
แต่ก็เป็นไปไม่ได้  
อย่างไรก็ตามเราสามารถรับใช้พระองค์ได้โดยการปรนนิบัติรับใช้ผู้อื่น
7. "เตือนสติกันและกัน"
    เฮ็บราย 3.13 
"แต่ว่าจงเตือนสติซึ่งกันและกันทุกวัน, เมื่อยังเรียกได้ว่าเป็น 
วันนี้, เกรงว่าในพวกท่านจะมีคนหนึ่งคนใดถูกอุบายของความบาป 
ทำให้ใจแข็งกะด้างไป"  (โปรดดู เฮ็บราย 10.25,  2ติโมเธียว 4.1-2,  
1ติโมเธียว 4.13)  บาระนาบาเป็นตัวอย่างดีในการหนุนใจและเตือนสติผู้อื่น  
กิจการ 11.24  
"ด้วยบาระนาบานั้นเป็นคนดีประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และความเชื่อ 
จำนวนคนของพระผู้เป็นเจ้าก็ได้ทวีขึ้นเป็นอันมาก"
8. "จงเล้าโลมซึ่งกันและกัน"
    1เธซะโลนิเก 
4.18 "เหตุฉะนั้นจงเล้าโลมซึ่งกันและด้วยคำเหล่านี้เถิด"  
ในยามเศร้าโศกเป็นเวลาที่เราควรเล้าโลมซึ่งกันและกัน  
เราอาจทำได้โดยวิธีการดังต่อไปนี้
    (1) 
ช่วยทำอาหารไปให้ครอบครัวของผู้ที่สูญเสียผู้เป็นที่รักไป หรือ 
ช่วยเหลือในสิ่งที่จำเป็น
    (2) 
ไปในงานพิธีศพ
    (3) 
ส่งสิ่งของที่ระสึกไปให้
    (4) 
ส่งการ์ดไปเล้าโลมจิตใจ
    (5) 
แสดงคำพูดที่เห็นใจและสงสาร
    (6) 
ไปเยี่ยมเยียนเขา
    
โดยการทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเราร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้  โรม 12.15 " 
จงมีใจยินดีด้วยกันกับผู้ที่มีความยินดี 
จงร้องไห้ด้วยกันกับผู้ที่ร้องไห้"
ตอบคำถาม คลิกที่นี่  https://docs.google.com/forms/d/1gYQrUBnNjDVIb1NKrYNOrqcpZms8z0Wun1KRNZFWMfY/viewform 
  
